ทีมชาติโปรตุเกสสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้วงการฟุตบอลยุโรปอีกครั้ง หลังคว้าแชมป์ UEFA Nations League เป็นสมัยที่สอง ด้วยการเฉือนชนะทีมชาติสเปน 5-3 ในการดวลจุดโทษ หลังเสมอกัน 2-2 ในช่วงต่อเวลาพิเศษที่สนามมิวนิก ฟุตบอล อารีนา ประเทศเยอรมนี ความสำเร็จครั้งนี้ตอกย้ำถึงพัฒนาการภายใต้การคุมทีมของ โรแบร์โต้ มาร์ติเนซ ซึ่งสามารถสร้างสมดุลระหว่างรุ่นเก๋าอย่างคริสเตียโน่ โรนัลโด้ และดาวรุ่งพุ่งแรงอย่างวิตินญ่า ได้อย่างลงตัว เชิญติดตามรายละเอียดไปกับ Bettingtop10 ได้เลย
ชัยชนะในรอบแบ่งกลุ่มของโปรตุเกสเริ่มต้นอย่างยอดเยี่ยม พวกเขาเอาชนะโครเอเชียและสกอตแลนด์ ก่อนปิดนัดสุดท้ายของกลุ่มด้วยชัยชนะถล่มโปแลนด์ 5-1 การผ่านเข้าสู่รอบน็อกเอาต์เต็มไปด้วยความท้าทาย โดยเฉพาะรอบก่อนรองชนะเลิศที่ต้องต่อเวลาและเอาชนะเดนมาร์กด้วยสกอร์รวม 5-3 จากนั้นก็สร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการโค่นเยอรมนีในรอบรองชนะเลิศ ก่อนจะเฉือนชนะสเปนในรอบชิงชนะเลิศ ถือเป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและทักษะอันยอดเยี่ยมของทั้งทีม
แม้อายุจะล่วงเลยกว่า 40 ปี แต่คริสเตียโน่ โรนัลโด้ยังคงพิสูจน์ความสำคัญของตนในทีมชาติได้อย่างต่อเนื่อง เขายิงประตูในรอบก่อนรองชนะเลิศกับเดนมาร์ก รอบรองชนะเลิศกับเยอรมนี และรอบชิงชนะเลิศกับสเปน โดยเฉพาะประตูตีเสมอในนัดชิงที่ช่วยพาทีมลากเกมเข้าสู่การดวลจุดโทษ ที่สุดท้าย ดิโอโก้ คอสต้า เซฟลูกยิงของอัลบาโร่ โมราต้า ก่อนที่รูเบน เนเวสจะซัดลูกสุดท้ายพาทีมโปรตุเกสคว้าแชมป์ในค่ำคืนประวัติศาสตร์
การคุมทีมของโรแบร์โต้ มาร์ติเนซเต็มไปด้วยความยืดหยุ่นและการวางแท็กติกอย่างชาญฉลาด เขาเลือกใช้แผน 4-3-3 เป็นหลัก พร้อมปรับเปลี่ยนไลน์อัปตามคู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็นการใช้ปีกเร็วอย่างเลเอาและเนโต้ หรือเน้นความสมดุลด้วยตรินเกาและดิโอโก้ โชตา เกมรับมีความแน่นอนมากขึ้น ส่วนเกมรุกมีความหลากหลายและรวดเร็วมากขึ้นเมื่อเทียบกับยุคก่อนหน้า การผสมผสานนี้ทำให้โปรตุเกสเป็นทีมที่เล่นได้ทั้งตั้งรับและโต้กลับ