สนามแอนฟิลด์ถูกแต่งแต้มด้วยอารมณ์แห่งความภาคภูมิใจและความซาบซึ้งในวันที่ลิเวอร์พูลฉลองแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยที่ 20 ของสโมสร แม้ผลการแข่งขันนัดสุดท้ายจะจบลงด้วยการเสมอกับคริสตัล พาเลซ 1-1 แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังเสียงนกหวีดสุดท้ายกลับมีความหมายยิ่งกว่าเกมในสนาม การยกถ้วยต่อหน้าแฟนบอลของเฟอร์จิล ฟาน ไดจ์ค และการกลับมาของเหล่าตำนานอย่างอลัน ฮันเซ่น, เจอร์เก้น คล็อปป์, สตีเว่น เจอร์ราร์ด และราฟา เบนิเตซ กลายเป็นช่วงเวลาที่แฟน ๆ หงส์แดงจะไม่มีวันลืม
การส่งมอบถ้วยแชมป์จากฮันเซ่น อดีตกัปตันชุดแชมป์ปี 1990 ให้กับฟาน ไดจ์ค คือสัญลักษณ์ของการสืบสานจิตวิญญาณลิเวอร์พูลจากรุ่นสู่รุ่น เป็นภาพที่ชวนให้รู้สึกถึงน้ำหนักทางประวัติศาสตร์ที่ถูกส่งต่อระหว่างสองตำนานผู้สวมปลอกแขนทีม การที่ฮันเซ่นซึ่งเพิ่งฟื้นตัวจากอาการป่วยรุนแรงได้ปรากฏตัวขึ้นในพิธี ยิ่งทำให้บรรยากาศในวันนั้นชวนซาบซึ้งและเต็มไปด้วยความหมายของแวดวงฟุตบอลและการเดิมพันบนเว็บตรงไม่ผ่านเอเย่นต์ ขณะเดียวกัน เสียงเฮกึกก้องจากฝูงชนหลายหมื่นคนเมื่อถ้วยแชมป์ถูกชูขึ้น ก็สะท้อนถึงการรอคอยอันยาวนานของชาวเดอะค็อป ซึ่งเฝ้ารอโมเมนต์แห่งความสำเร็จนี้มาอย่างยาวนาน
หนึ่งในช่วงเวลาที่ซึ้งไม่แพ้กันคือการอำลาของ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่ลงเล่นในแอนฟิลด์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนอำลาทีมในช่วงซัมเมอร์ เขาได้รับเสียงต้อนรับอย่างอบอุ่นในสนาม ทั้งจากเสียงปรบมือและเสียงเรียกชื่อ เขาตอบรับด้วยการจูบตราสโมสรบนหน้าอก ก่อนหลั่งน้ำตาขณะร่วมฉลองกับเพื่อนร่วมทีมและครอบครัว การที่เขาเคยโดนโห่ในเกมก่อนหน้า และกลับมาได้รับการยกย่องในเกมสุดท้าย เป็นเครื่องยืนยันถึงความผูกพันที่ลึกซึ้งระหว่างนักเตะกับสโมสรบ้านเกิดของเขา
ในด้านของการแข่งขัน โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ยังคงเป็นฮีโร่ประจำทีมด้วยการยิงประตูตีเสมอในช่วงท้ายเกม ช่วยให้ลิเวอร์พูลไม่พ่ายแพ้ในบ้านนัดปิดฤดูกาล ประตูนี้เป็นลูกที่ 34 ของเขาในทุกรายการ และเป็นส่วนหนึ่งในสถิติการมีส่วนร่วมกับประตูรวม 47 ประตูในฤดูกาลเดียว ซึ่งเทียบเท่ากับสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกของ แอนดี้ โคล และอลัน เชียเรอร์ เป็นการตอกย้ำความสำคัญของเขาในทีม และแสดงให้เห็นถึงความคงเส้นคงวาทางผลงานที่หาตัวจับยาก