มหกรรมลูกหนังยิ่งใหญ่ที่ในโลกคงต้องยกให้ให้ “ฟุตบอลโลก” ซึ่งในปี 2022 นี้ ก็จะได้มีจัดแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 ที่การ์ตา เรียกได้ว่านี้คือความมันส์ที่คนทั้งโลกรอคอย และก่อนที่จะไประเบิดความมันส์ช่วงปลายปี มันคงจะมีอรรถรสมากกว่าเป็นแน่ถ้าได้อุ่นเครื่องด้วย ประวัติความเป็นมาของทัวร์นาเมนต์ฟุตบอล ซึ่งรับรองว่าการรู้ที่มาแล้วจะทำให้แฟนบอลจะได้เข้าถึงความสนุกมากกว่าเดิมเป็นแน่แท้
ประวัติความเป็นมา ‘ฟุตบอลโลก’ จากอดีตจนถึงปัจจุบัน
การแข่งขันฟุตบอลนานาชาติในยุคก่อน
การแข่งขันฟุตบอลระหว่างประเทศเกิดขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1872 ที่กลาสโกว์ เป็นการพบกันระหว่าง สก็อตแลนด์ กับ อังกฤษ ต่อมากีฬาฟุตบอลเติบโตขึ้นมีแข่งขันในกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1900 และ 1904 และโอลิมปิกซ้อน 1906 หลังจากที่ก่อตั้งสหพันธ์ฟุตบอลระหว่างประเทศ (ฟีฟ่า) ขึ้นในปี ค.ศ. 1904 ได้มีการพยายามจัดการแข่งขันฟุตบอลระหว่างประเทศ นอกเหนือจากการแข่งขันในกีฬาโอลิมปิก 1906 ที่สวิตเซอร์แลนด์ ทว่าการแข่งขันนั้นล้มเหลว แต่ในที่สุดฟุตบอลก็กลายเป็นหนึ่งในกีฬาที่แข่งขันอย่างเป็นทางการในโอลิมปิกฤดูร้อน 1908 ที่กรุงลอนดอน
ต่อมาปี ค.ศ. 1914 ฟีฟ่าจำแนกการแข่งขันฟุตบอลในกีฬาโอลิมปิกเป็น “การแข่งขันชิงแชมป์สำหรับมือสมัครเล่น” และรับผิดชอบในการจัดการการแข่ง ซึ่งป็นการปูทางให้กับการแข่งขันกีฬาฟุตบอลระหว่างทวีปเป็นครั้งแรก ในวันที่ 28 พฤษภาคม ค.ศ. 1928 ที่ประชุมฟีฟ่าตัดสินใจที่จัดการแข่งขันฟุตบอลด้วยตัวเอง ซึ่งทางประเทศอุรุกวัยเป็นเจ้าภาพในการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งแรก ในนัดชิงชนะเลิศ ทีมชาติอุรุกวัย ชนะ ทีมชาติอาร์เจนตินา ด้วยสกอร์ 4–2 ที่เมืองมอนเตวิเดโอ ดังนั้นทีมอุรุกวัยจึงเป็นประเทศแรกที่ชนะการแข่งขันฟุตบอลโลก
ฟุตบอลโลกช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2
หลังจากที่การแข่งขันฟุตบอลโลกได้กำเนิดเกิดขึ้นแล้ว ในกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1932 ที่จัด ณ เมืองลอสแอนเจลิส ก็ไม่ได้รวมฟุตบอลเข้าไปด้วย เนื่องจากความไม่ได้รับความนิยมในสหรัฐอเมริกา ประกอบกับในช่วงแรกของการแข่งขันฟุตบอลโลกมีความความยากลำบากในการเดินทางข้ามทวีป มีทีมจากทวีปอเมริกาใต้บางทีมยินดีเดินทางไปยุโรปเพื่อร่วมการแข่งขันในปี 1934 และ 1938 โดยทีมชาติบราซิลเป็นทีมเดียวของอเมริกาใต้ที่เข้าร่วมแข่งขันทั้ง 2 ครั้งนี้ ส่วนทัวร์นาเมนฟุตบอลโลก 1942 และ 1946 ได้ยกเลิกไปเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่ 2 และพักจากผลกระทบของสงครามโลกนั้นเอง
ฟุตบอลโลกช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
ฟุตบอลโลก 1950 มีเจ้าภาพเป็นประเทศบราซิล ซึ่งทัวร์นาเมนต์นี้เป็นครั้งแรกที่สหราชอาณาจักรเข้าร่วมการแข่งขัน หลังจากทีมสหราชอาณาจักรถอนตัวออกจากจากฟีฟ่าในปี ค.ศ. 1920 ที่มีความไม่พอใจในบางส่วนกับการที่ต้องลงสนามกับประเทศที่ทำสงครามด้วย และบางส่วนเพื่อประท้วงด้านอิทธิพล แต่ในที่สุดก็กลับเข้ามาร่วมการแข่งขันในปี ค.ศ. 1946 เช่นเดียวกันทีมแชมเปี้ยนอย่า งอุรุกวัย หลังจากที่คว่ำบาตรฟุตบอลโลกก่อนหน้านี้ก็กลับมาเข้าร่วมเช่นกัน การแข่งขันได้ขยายเป็น 24 ทีม ในปี ค.ศ. 1982 จากนั้นปรับเพิ่มเป็น 32 ทีม ในปี ค.ศ. 1998 ทำให้มีทีมจากทวีปแอฟริกา เอเชีย และอเมริกาเหนือ ได้มีการเข้ารอบมากขึ้น และในครั้งหลังๆ ทีมในภูมิภาคเหล่านี้ก็ก้าวกระโดดประสบความสำเร็จอย่างเห็นได้ชัด ทั้งสามารถติดในรอบก่อนรองชนะเลิศมากขึ้น
การแข่งขันฟุตบอลโลกในปัจจุบัน
สำหรับรูปแบบการแข่งขันฟุตบอลโลกในปัจจุบัน ประกอบด้วย 32 ทีม เข้าร่วมแข่งขันการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายในประเทศเจ้าภาพ ซึ่งใช้เวลาจัดทัวร์นาเมนต์ประมาณ 1 เดือน ส่วนในรอบคัดเลือกที่ลงเตะกันก่อนหน้านั้นจะแบ่งโซนการแข่งขันกันเป็นทวีป ต้องใช้เวลาร่วม 3 ปี เพื่อคัดเอา 31 ทีมชาติ จาก 5 ทวีป โดยอีกหนึ่งทีมมาจากประเทศเจ้าภาพ เพื่อตัดสินว่าชาติใดที่จะตีตั๋วผ่านเข้ารอบสุดท้าย
เปิดทำเนียบแชมป์ฟุตบอลโลก.. ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ครั้งที่ 1 ปี ค.ศ. 1930 ทีมชาติอุรุกวัย
ครั้งที่ 2 ปี ค.ศ.1934 ทีมชาติอิตาลี
ครั้งที่ 3 ปี ค.ศ.1938 ทีมชาติอิตาลี
ครั้งที่ 4 ปี ค.ศ.1950 ทีมชาติอุรุกวัย
ครั้งที่ 5 ปี ค.ศ.1954 ทีมชาติเยอรมนีตะวันตก
ครั้งที่ 6 ปี ค.ศ.1958 ทีมชาติบราซิล
ครั้งที่ 7 ปี ค.ศ.1962 ทีมชาติบราซิล
ครั้งที่ 8 ปี ค.ศ.1966 ทีมชาติอังกฤษ
ครั้งที่ 9 ปี ค.ศ.1970 ทีมชาติบราซิล
ครั้งที่ 10 ปี ค.ศ.1974 ทีมชาติเยอรมนีตะวันตก
ครั้งที่ 11 ปี ค.ศ.1978 ทีมชาติอาร์เจนตินา
ครั้งที่ 12 ปี ค.ศ.1982 ทีมชาติอิตาลี
ครั้งที่ 13 ปี ค.ศ.1986 ทีมชาติอาร์เจนตินา
ครั้งที่ 14 ปี ค.ศ.1990 ทีมชาติเยอรมนีตะวันตก
ครั้งที่ 15 ปี ค.ศ.1994 ทีมชาติบราซิล
ครั้งที่ 16 ปี ค.ศ.1998 ทีมชาติฝรั่งเศส
ครั้งที่ 17 ปี ค.ศ.2002 ทีมชาติบราซิล
ครั้งที่ 18 ปี ค.ศ.2006 ทีมชาติอิตาลี
ครั้งที่ 19 ปี ค.ศ.2010 ทีมชาติสเปน
ครั้งที่ 20 ปี ค.ศ.2014 ทีมชาติเยอรมนี
ครั้งที่ 21 ปี ค.ศ.2018 ทีมชาติฝรั่งเศส
ครั้งที่ 22 ปี ค.ศ. 2022 ร่วมลุ้นว่าทีมใดจะเป็นแชมป์ฟุตบอลโลก 2022 พร้อมกันนัดชิง 18 ธ.ค. นี้!!
ถ้วยฟุตบอลโลก …มีที่มาอย่างไร?
ถ้วยฟุตบอลโลก นั้นเป็นแรงบันดาลใจให้ทีมชาติต่างๆ ต่อสู้เพื่อพิสูจน์ฝีเท้าและศักดิ์ศรี ถ้วยนี้มีน้ำหนัก 4,970 กรัม ทำด้วยทองแท้ 18 กะรัต มีความสูง 36 เซนติเมตร มีชื่อเรียกว่า ถ้วยฟีฟ่าเวิลด์คัพ (FIFA World Cup Trophy) ออกแบบโดย ซิลวิโอ กาซซานิก้า ประติมากรรมชาวอิตาเลียน ในปี ค.ศ. 1971 โดยลายเส้นของรูปปั้นบิดขึ้นมาจากฐาน เป็นรูปนักกีฬา 2 คนยืนหันหลังยกโลก มีลักษณะคล้ายกสนเคลื่อนไหวเป็นจังหวะการฉลองชัยชนะ ถ้วยเวิลด์คัพใบนี้เริ่มใช้ครั้งแรกในปี ค.ศ.1974 ที่เยอรมนีเป็นเจ้าภาพ และก็เป็นทีมอินทรีเหล็กคว้าถ้วยใบนี้สำเร็จ แต่ว่าถ้วยฟีฟ่าไม่ได้เป็นของทีมใดทีมหนึ่ง เพราะถ้วยใบนี้ต้องอยู่ถาวรกับฟีฟ่า ทีมแชมป์จะได้ครอบครองถ้วยจริงไว้นาน 4 ปี หลังจากนั้นได้รับถ้วยจำลองที่ทำจากทองผสม ส่วนฐานของถ้วยมีแหวนคาดไว้สองเส้น มีพื้นที่ไว้สลักชื่อทีมผู้ชนะ 17 ช่อง ในปี ค.ศ.2038 ชื่อจะเต็มช่องเหล่านั้น ส่วนฟีฟ่าจะทำอย่างไรต่อไป แฟนบอลอย่างเราก็ต้องติดตามกัน
สำหรับถ้วยเดิมชื่อ จูลส์ ริเมต์ ซึ่งเป็นชื่อของประธานฟีฟ่าชาวฝรั่งเศส ผู้ซึ่งเป็นกำลังหลักในการจัดบอลโลกครั้งแรกสำเร็จ ในตอนปี ค.ศ.1930 ถ้วยแรกทำจากเงินและทองรวมน้ำหนัก 3.8 กก. สูง 38 ซม. ฐานทำด้วยหินล้ำค่าสีฟ้าหรือว่าไพฑูรย์ เป็นรูปเทพธิดาแห่งชัยชนะ ทั้งนี้ถ้วย จูลส์ ริเมต์ หายถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกปี ค.ศ.1966 ช่วงที่ทีมชาติอังกฤษได้แชมป์ ถูกพบว่าฝังอยู่ที่ต้นไม้โดยฝีมือสุนัขตัวเล็กชื่อว่าพิกเกิ้ลส์ ในปีค.ศ.1983 ถ้วยหายไปจริงๆ ช่วงที่ทีมชาติบราซิลได้สิทธิครอบครองหลังจากคว้าแชมป์ 3 สมัย ถ้วยโดนมือดีขโมยไปจากที่เก็บในนครริโอเดอจาเนโร และถูกหลอมละลาย ทางฟีฟ่าจึงจัดทำถ้วยใหม่ที่เห็นในปัจจุบันนั้นเอง